ที่มา : วารสารส่งเสริมการลงทุน เดือนมกราคม 2558
โดย : คุณนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์
ผู้อำนวยการระดับสูง สำนักยุทธศาสตร์และนโยบายการลงทุน
เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2557 คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้มีมติเห็นชอบ "ยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุนในระยะ 7 ปี (2558 - 2564)" เพื่อใช้เป็นแผนแม่บทในการกำหนดทิศทางการส่งเสริมการลงทุนของประเทศไทยในระยะ 7 ปีข้างหน้า นับเป็นการปรับเปลี่ยนนโยบายและหลักเกณฑ์การส่งเสริมการลงทุนครั้งใหญ่ของบีโอไอ หลังจากที่ได้ปรับใหญ่ครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2543
ในการจัดทำร่างยุทธศาสตร์ฉบับนี้ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้แต่งตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อศึกษาวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนอย่างรอบด้าน รวมทั้งทิศทางแนวโน้มการลงทุนของโลก ยุทธศาสตร์ของประเทศคู่แข่ง ทิศทางการพัฒนาประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนโยบายการพัฒนาภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการของประเทศ ตลอดจนได้สัมภาษณ์ จัดประชุมหารือเฉพาะกลุ่ม และสัมมนาใหญ่ เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย และผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่างๆ เพื่อจัดทำยุทธศาสตร์ใหม่เป็นไปอย่างรอบคอบและสมบูรณ์ที่สุด
วิสัยทัศน์และนโยบายส่งเสริมการลงทุน
"ส่งเสริมการลงทุนที่มีคุณค่า ทั้งในประเทศและการของไทยในต่างประเทศ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ก้าวพ้นการเป็นประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลาง (Middle Income Trap) และเติบโตอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง"
ในการดำเนินงานให้บรรลุตามวิสัยทัศน์ที่กำหนดไว้ คณะกรรมการฯ ได้กำหนดนโยบายส่งเสริมการลงทุน ดังนี้
การปรับเปลี่ยนทิศทางการส่งเสริมการลงทุน
ภายใต้ยุทธศาสตร์ใหม่ ได้มีการปรับเปลี่ยนทิศทางการส่งเสริมการลงทุนใน 6 ด้านที่สำคัญ คือ
การปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์การส่งเสริมการลงทุน
คณะกรรมการฯ ได้กำหนดหลักเกณฑ์การส่งเสริมการลงทุนใหม่ ซึ่งประกอบด้วยบัญชีประเภทกิจการที่จะให้การส่งเสริมฯ สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ และหลักเกณฑ์การอนุมัติโครงการ โดยให้มีผลใช้บังคับกับคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนที่ยื่นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 เป็นต้นไป ดังนี้
1.1 | กลุ่มโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรม เช่น การผลิตพลังงานไฟฟ้า ระบบโลจิสติกส์ โครงสร้างพื้นฐานและบริการเพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล อุตสาหกรรมพื้นฐาน และอุตสาหกรรมสนับสนุนต่างๆ เป็นต้น |
1.2 | กลุ่มเทคโนโลยีพื้นฐานขั้นสูงที่จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมไทย เช่น เทคโนโลยีชีวภาพ นาโนเทคโนโลยี เทคโนโลยีวัสดุขั้นสูง เป็นต้น |
1.3 | กลุ่มอุตสาหกรรมและบริการที่พัฒนาจากทรัพยากรในประเทศ เช่น อุตสาหกรรมการเกษตรและอาหารแปรรูป อุตสาหกรรมเหมืองแร่ อุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์ ธุรกิจสนับสนุนการท่องเที่ยว เป็นต้น |
1.4 | กลุ่มอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยมีความสามารถเป็นฐานการผลิตหลักของภูมิภาคและของโลก เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์และอุปกรณ์ขนส่งอื่นๆ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น |
ในการจัดทำบัญชีประเภทกิจการใหม่ จะแบ่งกิจการที่ให้การส่งเสริมออกเป็น 2 กลุ่ม พร้อมทั้งระบุเงื่อนไขเฉพาะของแต่ละกิจการให้มีความชัดเจนและสะท้อนถึงสิ่งที่ประเทศต้องการมากขึ้น
กลุ่ม A : เป็นกิจการที่มีความสำคัญสูงต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยและมีความจำเป็นต้องให้สิทธิและประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุน และให้สามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้ โดยจะให้ได้รับสิทธิและประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล และสิทธิประโยชน์อื่นๆ ลดหลั่นตามลำดับความสำคัญ แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้ /pr>
A1 | เป็นกลุ่มกิจการที่มีความสำคัญสูงสุด ได้แก่ กิจการที่ลงทุนในสินทรัพย์ถาวรไม่สูง หรืออุตสากรรมฐานความรู้ (Knowledge - Based Industries) ที่เน้นการวิจัยและพัฒนา ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากต่อการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว ตัวอย่าง กิจการวิจัยและพัฒนา กิจการเทคโนโลยีชีวภาพ กิจการออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์ กจการบริการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ กิจการสถานฝึกฝนวิชาชีพ กิจการนิคมหรือเขตอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยี |
A2 | กิจการที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและมีกระบวนการผลิตที่ซับซ้อนมาก กิจการที่ใช้เงินลงทุนสูง กิจการโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ กิจการอุตสาหกรรมพื้นฐานที่สำคัญ และกิจการที่มีความสำคัญต่อการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งยังไม่มีการลงทุนในประเทศหรือมีน้อยมาก จึงจำเป็นต้องให้ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด เพื่อกระตุ้นในห้เกิดการลงทุน ตัวอย่าง กิจการผลิตสารออกฤทธิ์จากวัตถุดิบทางธรรมชาติ กิจการผลิตเชื้อเพลิงจากผลผลิตการเกษตร กิจการผลิต Advanced หรือ Nano Materials กิจการผลิตเส้นใยที่มีคุณสมบัติพิเศษ กิจการผลิตชิ้นส่วนยานพาหนะที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง กิจการผลิตชิ้นส่วนในกลุ่ม Organics and Printed Electronics (OPE) กิจการขนส่งสินค้าทางราง |
A3 | กิจการที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงที่มีฐานการผลิตอยู่บ้างแล้ว แต่ยังคงมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต ตัวอย่าง กิจการผลิตหรือถนอมอาหาร เครื่องดื่ม วัตถุเจือปนอาหาร Food Additive) หรือสิ่งปรุงแต่งอาหารโดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย กิจการผลิตเครื่องยนต์สำหรับยานพาหนะ กิจการผลิต Hard Disk Drive ทั่วไป กิจการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี กิจการขนส่งทางอากาศ |
A4 | กิจการที่ใช้เทคโนโลยีต่ำกว่าหรือมีกระบวนการผลิตที่ซับซ้อนน้อยกว่ากลุ่ม A2 - A3 แต่มีโอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่มแก่วัตถุดิบในประเทศ และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับห่วงโซ่มูลค่าของอุตสาหกรรมที่ไทยมีขีดความสามารถในการเป็นฐานการผลิตหลักของภูมิภาคและของโลก ตัวอย่าง กิจการผลิตผลิตภัณฑ์จากผลพลอยได้หรือเศษวัสดุทางการเกษตร กิจการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับ กิจการอบชุบโลหะ (Heat Treatment) กิจการประกอบเครื่องจักรหรืออุปกรณ์เครื่องจักร กิจการผลิต Compressor หรือ Motor สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า กิจการผลิตผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อการอุตสาหกรรม |
กลุ่ม B : เป็นกิจการในกลุ่มอุตสาหกรรมสนับสนุนที่มีการใช้เทคโนโลยีไม่สูง และกระบวนการผลิตไม่ซับซ้อน แต่ยังมีความสำคัญต่อห่วงโซ่มูลค่า โดยจะไม่ให้ได้รับสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล แต่จะอำนวยความสะดวกผ่านสิทธิประโยชน์ด้านเครื่องจักร วัตถุดิบ และสิทธิประโยชน์ที่มิใช่ภาษีอากร (Non - Tax Incentives) แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
B1 | กิจการที่จะได้รับสิทธิประโยชน์การยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร การยกเว้นอากรขาเข้าวัตถุดิบที่นำเข้ามาผลิตเพื่อส่งออก และสิทธิประโยชน์ที่มิใช่ภาษีอากร (Non - Tax) ตัวอย่าง กิจการอบพืชและไซโล กิจการห้องเย็นหรือขนส่งห้องเย็น กิจการผลิตผลิตภัณฑ์แก้ว กิจการผลิตเหล็กทรงยาวและทรงแบนสำหรับงานก่อสร้าง กิจการชุบเคลือบผิว การปรับเปลี่ยนสภาพผิว กิจการผลิต Wire Harness กิจการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม |
B2 | กิจการที่จะได้รับสิทธิประโยชน์การยกเว้นอากรขาเข้าวัตถุดิบที่นำเข้ามาผลิตเพื่อส่งออก และสิทธิประโยชน์ที่มิใช่ภาษีอากร (Non - Tax) ตัวอย่าง กิจการตัดโลหะ กิจการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กิจการสนับสนุนการค้าและการลงทุน (Trade and Investment Support Office) |
นอกจากนี้ ยังได้ยกเลิกการให้การส่งเสริมฯ กิจการบางประเภท เช่น กิจการที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำ การใช้เทคโนโลยีอยู่ในระดับต่ำ กระบวนการผลิตไม่ซับซ้อน การเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมต่างๆ มีน้อย และสามารถดำเนินกิจการได้เอง โดยไม่จำเป็นต้องได้รับการส่งเสริมฯ กิจการที่มีปัญหาสิ่งแวดล้อมมากหรือใช้พลังงานสูง กิจการสัมปทานหรือกิจการผูกขาดที่ได้รับการคุ้มครองจากรัฐอยู่แล้ว และกิจการที่ขัดกับกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
รูปแบบของสิทธิประโยชน์ภายใต้ยุทธศาสตร์ใหม่ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ สิทธิประโยชน์พื้นฐานตามประเภทกิจการ และสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมตามคุณค่าของโครงการ
2.1 สิทธิประโยชน์ตามประเภทกิจการ (Activity - Based Incentives)
กำหนดสิทธิประโยชน์พื้นฐานที่ต่างกันตามลำดับความสำคัญของกิจการ ดังนี้
กลุ่ม | ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล | ยกเว้นอากรเครื่องจักร | ยกเว้นอากรวัตถุดิบผลิตเพื่อส่งออก | Non - Tax |
กลุ่ม A : กิจการที่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล และสิทธิประโยชน์อื่นๆ | ||||
A1 | 8 ปี (ไม่ Cap วงเงิน) + Merit | O | O | O |
A2 | 8 ปี + Merit | O | O | O |
A3 | 5 ปี + Merit | O | O | O |
A4 | 3 ปี + Merit | O | O | O |
กลุ่ม B : กิจการที่จะได้รับการอำนวยความสะดวก ผ่านสิทธิประโยชน์ด้านเครื่องจักร วัตถุดิบ และ Non - tax | ||||
B1 | Merit (บางกิจการ) | O | O | O |
B2 | Merit (บางกิจการ) | O | O |
หมายเหตุ สิทธิประโยชน์ที่มิใช่ภาษีอากร (Non - Tax Incentives) ภายใต้พระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน ประกอบด้วย การอนุญาตให้นำช่างฝีมือและผู้ชำนาญการต่างชาติเข้ามาทำงานในกิจการที่ได้รับการส่งเสริมฯ การอนุญาตให้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน และการอนุญาตให้นำหรือส่งเงินออกนอกประเทศเป็นเงินตราต่างประเทศได้
2.2 สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมตามคุณค่าของโครงการ (Merit - Based Incentives)
Merit | ยกเว้นภาษีเงินได้เพิ่มเติม | ||||||||||||||||||||||||
1. Merit เพื่อพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน | |||||||||||||||||||||||||
ให้นับรวมเงินลงทุนและค่าใช้จ่ายต่อไปนี้
|
ให้สิทธิและประโยชน์เพิ่มเติมตามสัดส่วนเงินลงทุนและค่าใช้จ่าย ดังนี้
|
||||||||||||||||||||||||
2. Merit เพื่อกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค | |||||||||||||||||||||||||
การตั้งสถานประกอบการในพื้นที่ที่มีรายได้ต่ำต่อหัว (20 จังหวัด ได้แก่ กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ นครพนม น่าน บงกาฬ บุรีรัมย์ แพร่ มหาสารคาม มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน ยโสธร ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ สกลนคร สระแก้ว สุโขทัย สุรินทร์ หนองบัวลำภู อุบลราชธานี และอำนาจเจริญ) |
3 ปี * หากเป็นกิจการในกลุ่ม A1 และ A2 ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปีอยู่แล้ว จะให้ได้รับการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล ร้อยละ 50 เพิ่มอีก 5 ปี นับจากวันสิ้นสุดระยะเวลาการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล | ||||||||||||||||||||||||
3. Merit เพื่อพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรม | |||||||||||||||||||||||||
การตั้งสถานประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมหรือเขตอุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริมฯ | 1 ปี |
ตัวอย่างการคำนวณสิทธิประโยชน์
ตัวอย่างที่ 1 : กิจการผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับสำนักงาน (ประเภท 5.3.6) ตั้งสถานประกอบการที่นิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีเงินลงทุน (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) 100 ล้านบาท และได้ยื่นขอรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมตามคุณค่าของโครงการ โดยจะลงทุนทำวิจัยและพัฒนา (R&D) มูลค่า 10 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1 ของยอดขายรวมใน 3 ปีแรก
สิทธิประโยชน์ | ตามประเภทกิจการ | ตามคุณค่าของโครงการ | ||
Merit เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน | Merit เพื่อกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค (ตั้งใน 20 จังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ) | Merit เพื่อพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรม (ตั้งในนิคมหรือเขตอุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริมฯ) | ||
ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล รวม 5 ปี มูลค่า Cap ไม่เกิน 120 ล้านบาท | (A4) 3 ปี โดยมีมูลค่า Cap ไม่เกิน 100 ล้านบาท | ยกเว้นเพิ่มอีก 1 ปี โดยมี Cap เพิ่มอีก 20 ล้านบาท | - | ยกเว้นเพิ่มอีก 1 ปี |
สิทธิประโยชน์พื้นฐานอื่นๆ |
|
ตัวอย่างที่ 2 : กิจการผลิตผลิตภัณฑ์เครื่องกีฬาหรือชิ้นส่วน (ประเภท 3.4) ตั้งสถานประกอบการที่จังหวัดชัยภูมิ มีเงินลงทุน (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) 50 ล้านบาท
สิทธิประโยชน์ | ตามประเภทกิจการ | ตามคุณค่าของโครงการ | |||
Merit เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน | Merit เพื่อกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค (ตั้งใน 20 จังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ) | Merit เพื่อพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรม (ตั้งในนิคมหรือเขตอุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริมฯ) | |||
ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลรวม 3 ปี มูลค่า Cap ไม่เกิน 50 ล้านบาท | (B1) ไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ | - | ยกเว้นเพิ่มอีก 3 ปี | - | |
สิทธิประโยชน์พื้นฐานอื่นๆ |
| ||||
สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมสำหรับ 20 จังหวัด |
|
คณะกรรมการได้ปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์การอนุมัติโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุน ให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับทิศทางของยุทธศาสตร์ใหม่โดยประเด็นสำคัญคือ การเข้มงวดกับการใช้เครื่องจักรเก่า และการปรับเปลี่ยนวิธีนับเงินลงทุนขั้นต่ำสำหรับกลุ่มธุรกิจบริการฐานความรู้ รวมทั้งกิจการที่รองรับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิตัล หลักเกณฑ์ใหม่ประกอบด้วย 3 ด้านดังนี้
3.1 หลักเกณฑ์ด้านการพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน
3.2 หลักเกณฑ์ด้านการป้องกันผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม
3.3 หลักเกณฑ์เงินลงทุนขั้นต่ำ และความเป็นไปได้ของโครงการ
การกำหนดมาตรการเสริม
นอกจากการกำหนดมาตรการส่งเสริมการลงทุนหลักภายใต้ยุทธศาสตร์ใหม่แล้ว คณะกรรมการฯ ยังได้กำหนดมาตรการเสริมที่มีวัตถุประสงค์เฉพาะอีกหลายมาตรการ ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ใหม่สามารถบรรจุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนี้
1. มาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต โดยกระตุ้นให้กิจการที่ดำเนินการอยู่แล้วมีการลงทุนเพิ่มมากขึ้นในด้านต่างๆ ได้แก่ การปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อการประหยัดพลังงาน การใช้พลังงานทดแทน หรือการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เช่น Automation เป็นต้น และการลงทุนเพิ่มด้านการวิจัย พัฒนา และการออกแบบทางวิศวกรรมเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ
2. มาตรการเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เพื่อสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ SMEs ไทย และเพื่อเร่งรัดให้เกิดการลงทุนของกลุ่ม SMEs จำนวน 38 กิจการ โดยจะได้รับการผ่อนปรนเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติม 2 ปีจากหลักเกณฑ์ปกติ
3. มาตรการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยโครงการที่ลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่รัฐบาลกำหนด จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินด้นิติบุคคลเพิ่มเติม 3 ปีจากหลักเกณฑ์ปกติ หากเป็นกิจการในกลุ่ม A1 และ A2 ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปีอยู่แล้ว จะให้ได้รับการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เพิ่มเติมอีก 5 ปี นับจากวันสิ้นสุดระยะเวลาการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล
สำหรับกรณีเป็นกิจการเป้าหมายที่คณะกรรมการฯ นโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษกำหนด จะได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุด คือ ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี และลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เพิ่มเติมอีก 5 ปี
4. มาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยให้สิทธิประโยชน์สูงสุดกับโครงการที่ลงทุนในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล รวมทั้งพื้นที่ในอำเภอจะนะ อำเภอนาทวี อำเภอสะบ้าย้อย และอำเภอเทพา จังหวัดสงขลาด้วย
ทั้งนี้ มาตรการเหล่านี้มีผลใช้บังคับเป็นเวลา 3 ปี สิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2560 โดยผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.boi.go.th
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
สำนักงานคาดหวังว่า การปรับยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุนใหม่ในครั้งนี้จะก่อให้เกิดผลดีกับทุกภาคส่วนหลายประการ ดังนี้
ประโยชน์ต่อประเทศ
ประโยชน์ต่อนักลงทุน
ประโยชน์ต่อบีโอไอ
การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุนใหม่ให้ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้นับว่าเป็นโจทย์ที่ท้าทายมาก แต่เชื่อมั่นว่า หากทุกฝ่ายร่วมมือกันอย่างเต็มกำลังแล้ว จะทำให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน ก้าวสู่การเป็นประเทศที่มีรายได้ระดับสูง และเติบโตอย่างยั่งยืนได้อย่างแท้จริง
pageview 9,990
Total Pageviews 5,058,142 since January 2014